[Review] ทริปล่องใต้ดำน้ำหมู่เกาะสุรินทร์ – นอนเล่นฟินๆที่เขื่อนรัชชประภา

ตะลึงในความงดงามของทะเลประเทศไทย ธรรมชาติช่างสรรค์สร้างอะไรที่สวยมากไว้ที่นี่จริงๆ ไปเที่ยวอ่าวเที่ยวเกาะที่สุราษฎร์ธานี กันเถอะ งดงามจนเกินห้ามใจจริงๆ ถ้าพร้อมแล้วตามคุณ ~MARIJUANNA~ ไปกันเลย

สวัสดีครับ บอกไว้ก่อนเลยว่าเป็นการตั้งกระทู้ครั้งแรกในชีวิต (แต่ขอไอดีคนอื่นมาใช้) ผิดพลาดเลวร้ายไม่ดีอะไรยังไง ขออภัยไว้ก่อนเลยนะครับ  T__T

เริ่มเกริ่นกันก่อนเลย จากกลุ่มเพื่อนที่ไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ แต่ไม่เคยจะรีวิวที่ไหนเลยซักที ได้แต่คิดอย่างเดียว แถมตอนไปก็อาศัยข้อมูลที่มีประโยชน์จากในพันทิปซะเยอะ คราวนี้กลับตัวกลับใจได้เเล้วก็เลยอยากจะมาฝากข้อมูลที่ (น่าจะ) เป็นประโยชน์ให้กับสมาชิกท่านอื่นๆได้เอาไว้ใช้บ้างนะครับผม

ทริปหมู่เกาะสุรินทร์ – เขื่อนรัชชประภา นี้เป็นทริปกลุ่มของเรา 5 คน เริ่มจากการที่เคยไปดำน้ำที่เกาะตาชัยแล้วได้คุยกับไกด์ของเม็ดทรายทัวร์ พี่ไกด์บอกว่าหมู่เกาะสุรินทร์ ดำน้ำตื้นสวยมากๆ จึงทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะไปลองกัน เริ่มจากจองตั๋วโปรข้ามปีกันเลยของ Airasia ไปกลับ ดอนเมือง-สุราษฎร์ธานี คนละ 1200 บาท เดินทางวันที่ 24 ม.ค. 58 เวลา 18:00 น. กลับวันที่ 28 ม.ค. 58 เวลา 19:40 น.

ถึงสนามบินสุราษฎร์ธานี ก็ติดต่อเช่ารถ บูธอยู่ที่สนามบินสุราษฎร์ชั้น 1 เลย พอจัดการเรื่องรถเช่าเสร็จ เราก็เข้าเมืองสุราษฎร์ไปที่ตลาดวัดไทรหาอะไรรองท้องกันก่อน แล้วก็แวะดูหิ่งห้อยที่แม่น้ำตาปี ซึ่งช่วงที่ไปมีเยอะมาก ได้ความรู้ดีด้วยครับ ราคาเช่าเรือเหมาลำ 300 บาท ติดต่อได้ที่ริมแม่น้ำแถวๆนั้นเอาได้เลย มีป้ายไวนิลแขวนอยู่ หลังจากชมหิ่งห้อยก็ขับรถบึ่งไปยังอ.คุระบุรีต่อเลยจ้า เพราะจองที่พัก ไว้ที่ คุระเรือนไทยรีสอร์ท ราคา 650 บาท ถ้าเสริม 200/คน มีแอร์ ทีวี เครื่องทำน้ำอุ่น อาหารเช้าเป็นข้าวต้มเครื่องคนละ 1 ถุง ไข่ดาว+ขนมปัง คนละ 1 จาน และกาแฟ ซึ่งเราไปถึงกันเกือบตี 2 ง่วงมากตาจะปิด รีบอาบน้ำนอนเลยเพราะพรุ่งนี้ต้องไปที่ซาบีน่าทัวร์เวลา 8:30 น.  ส่วนที่ซาบีน่าทัวร์ เราไม่ได้ซื้อแพ็คเกจนะครับ แต่ไปจองโปรที่งานไทยเที่ยวไทย เป็นจองตั๋วเรือสปีดโบ๊ท ไปกลับ คนละ 1400 บาท จาก 1700 บาท (ปัจจุบัน 1500 บาท) 
เพื่อความสะดวก ก็เลยจองที่นี่ไปเลย ซึ่งในอุทยานก็มีเช่นกันราคาไม่ต่างกันมาก เราจะค้างบนเกาะ 1 คืน ส่วนรายละเอียดอื่นๆก็มีดังนี้

1. เต้นท์พร้อมเครื่องนอน 3 คนราคา 500 บาท 2 คน ราคา 450 บาท
2. สน็อคเกิ้ล พร้อมชูชีพคนละ 100 บาท
3. ฟิน (ตีนกบ) คนละ 100 บาท
4. ทริปดำน้ำ 1 วันมี 2 ทริป ทริปละ 2 จุด ราคาคนละ 150 บาท/ทริป (จขกท. ไป 2 วัน 1 คืน จะได้ดำน้ำ 2 ทริป ถ้าจะให้ครบทุกจุดต้อง 3 วัน 2 คืน)

เรือออกจากท่าเรือที่อุทยานหมู่เกาะสุรินทร์ 9:00 น. ถึงเกาะสุรินทร์เวลา 10:00 น. พอถึงหาดไม้งาม ก็เอาใบเสร็จค่าเต้นท์ ค่าดำน้ำให้ไกด์ซาบีน่าที่รออยู่ที่หาด แล้วหอบสัมภาระเดินตามไกด์ไปเลย แล้วเดินชิลๆเบาๆ 200 เมตรเอง ถึงที่เช็คอิน จขกท.ไปจ่ายค่าเข้าอุทยานคนละ 80 บาท แล้วเดินไปที่เต้นท์เล้ย เต็นท์อยู่ริมชายหาดเลยว๊าวววววววว วิวดีสุดๆ

ส่วนในเต้นท์ก็มีแผ่นรองนอน ผ้าห่ม และหมอนใบเล็กให้ (เตรียมกุญแจล็อคเต้นท์กันลิงมาด้วย ไม่งั้นจะหาว่าไม่เตือนนะครับบบบ) หลังจากเก็บสัมภาระเปลี่ยนชุดเสร็จ ถึงเวลานัด 14:00 น. เตรียมตัวไปดำน้ำที่แรกกันเลย น้ำใสมากๆวันนี้

ที่ดำน้ำที่แรกพาเราไป ตรงนี้พี่ไกด์บอกมีเต่าทะเล ปลาฉลาม และดงปะการังเขากวาง ซึ่งก็ไม่ผิดหวังจริงๆเห็นปลาฉลามตัวใหญ่เบิ้ม!  เจอเต่าทะเล พี่ไกด์ที่เราเจอดูแลดีมากๆครับ คอยบอกเราว่าตรงไหนมีอะไร ส่วนใครที่ว่ายไม่ไหวก็ช่วยพาลากไปให้

จุดดำน้ำจุดที่ 2 ของวันนี้ คืออ่าวผักกาด ตรงนี้ไกด์บอกว่า มีปะการังผักกาดเยอะ แต่ว่าหลังสึนามิก็เสียหายไปเยอะ ตรงจุดนี้ปลาเยอะมากมาย มีกองหินจุดนึงที่ปลาเยอะมากๆ (ตื่นเต้นมาก เพราะไม่เคยเจอปลาเยอะๆ ฮ่าๆ) ตรงนี้รูปน้อยหน่อยนะครับ เพราะมัวแต่ถ่ายวิดีโอ ยังไงก็กดไปดูในคลิปก็ได้ครับ บอกเลยว่าสวยมากๆ

หลังจากดำน้ำเสร็จ เปลี่ยนชุดเตรียมกินข้าวเย็นกันเลยจ้า ที่โรงอาหารมีทั้งตามสั่งและอาหารชุด

– อาหารตามสั่ง ราคา 100-150 บาท สั่งเอาได้เลย เวลา 18:00 น. เพราะตอนไปนักท่องเที่ยวไม่เยอะเท่าไร ไปที่เค้าท์เตอร์สั่งอาหารแล้วไปแลกคูปองมาจ่ายค่าอาหาร รับคิวอาหาร รอสัก 30 นาที  ก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะให้เลย

– อาหารชุด สำหรับ 2 คนขึ้นไป 3 มื้อ ราคา 680 บาท/คน/วัน (อาหารชุดเติมได้ตลอด มีผลไม้ เมนูน่าจะแล้วแต่พ่อครัวนะครับ ไม่แน่ใจ แต่เรากินตามสั่งกัน ก็ง่ายๆ ผัดกระเพราหมู ไก่นี่แหละ! 5 คน มีกับข้าว 2 อย่าง ราคา 720 บาท )

– อาหารชุดเช้า ราคา 120 บาท/คน/มื้อ สั่งตอน 8:00 น. 
อาหารชุดกลางวัน ราคา 250 บาท/คน/มื้อ สั่งตอน 10:00 น.
อาหารชุดเย็นราคา 280 บาท/คน/มื้อ สั่งตอน 16:00 น.

บนเกาะมีปลั๊กที่โรงอาหารนะครับ แต่ส่วนมากจะเต็ม!! ควรพกที่ชาร์ตแบตสำรองไป แล้วก็ไฟฉาย เพราะประมาน 4 ทุ่มจะดับไฟทั้งหมด เหลือแต่ไฟในห้องน้ำ ห้องน้ำมีน้ำจืดใช้ตลอดสบายใจได้

ตอนเช้าอากาศดีมากๆครับ น้ำลง ใครที่ตื่นเช้าๆสามารถเดินดูปะการังที่หน้าหาดไม้งามได้ด้วย มีดอกไม้ทะเล ปะการังเหมือนกัน ปลาสิงโตยังมีเลยครับ ส่วนมื้อเช้า เราพกมาม่า ขนมปัง แยม และขนมมากินเป็นอาหารเช้าง่ายๆ แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น! มีลิงจิ๊กโก๋ตัวนึง มันรูดซิปเต้นท์ (แปลกใจมาก เพราะเอาเชือกมัดหลวมๆไว้ ไม่ได้คิดไว้ว่ามันจะแกะเป็น 555) เข้ามาตอนที่เพื่อนหลับอยู่แล้วเอาขนมปังไปกินทั้งแถวเลย ขนาดเตรียมตัวมาอย่างดียังโดน ร้ายมากพูดเลย ฮ่าๆ แต่ก็ยังดีที่เหลือมาม่าไว้ให้ ที่โรงอาหารมีน้ำร้อน มีทีปิ้งขนมปังให้ เสร็จสรรพกินข้าวเช้าแล้ว ไกด์นัดเราดำน้ำ 9:00 น. เจอกันที่หาดเหมือนเดิม

เช้านี้เรา บอกพี่ไกด์ว่า อยากไปหมู่บ้านชาวมอแกน พี่เหม(ไกด์)ของเราก็พาไปชมวิถีชีวิตชาวมอแกน กิจกรรมบนนี้ก็จะมีเดินชมบ้าน สถานีอนามัย โรงเรียน ซื้อของฝาก ฯลฯ

สนามเด็กเล่นที่นี่วิวดีมาก

จากนั้นก็ไปดำน้ำที่จุดแหลมช่องขาด ตรงนี้ปะการังสวยมาก สีสันเยอะมากๆ ปลาก็มีเยอะมากเหมือนกัน บอกเลยว่าแถวนี้ดูเพลินกันไปเลยครับ

รูปยาวๆ

ตัวไหนเรียกว่าอะไรก็บอกผมมั่งนะครับ จำไม่ได้แล้วววว

จำอันนี้ได้ เห็นพี่เค้าเรียกว่าไม้จิ้มฟันจรเข้

รวมๆแล้วตรงจุดนี้ผมชอบมากครับ มันมีอะไรให้ดูเยอะดี

หลังจากดำน้ำกันจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงแล้ว ถึงที่พักก็เตรียมตัวอาบน้ำทานข้าวกลางวันกันเลย มื้อนี้พวกเราสั่งแบบตามสั่งเหมือนเดิม 5 คน ตกแล้วราคาประมาณ 640 บาท อิ่มกันเสร็จเรียบร้อยเตรียมเก็บกระเป๋า แล้วไปรอที่หาดที่เดิมอีกแล้ว เวลา 13.30 น. เรือออก 14:00 น. จะต้องลากันซะแล้วกับวิวแบบนี้ T__T

*** อันนี้สำคัญนะครับ คนที่จะกลับต้องเช็คเอ้าท์ในคืนก่อนวันกลับ ตรงที่เช็คอิน พี่ไกด์บอกไม่งั้นอาจไม่มีเรือกลับ (เราก็พึ่งไปรู้ตอนนั้นเหมือนกัน แต่ยังโชคดีที่คนไม่เยอะ เลยหาเรือให้กลับได้) ก่อนกลับก็รวมกันถ่ายรูปหมู่ซะหน่อย (ก็ยังไม่ครบหมู่อยู่ดี)

เวลา 15:00 น. ถึงฝั่งที่อุทยานหมู่เกาะสุรินทร์ เราก็จัดการคืนชูชีพ สน็อคเกิ้ล ฟิน แล้วก็ออกเดินทางไปยัง อ.บ้านตาขุน จ.สุราษฎร์ธานี ต่อกันเลย ระหว่างทางเราแวะแช่น้ำร้อนที่ บ่อน้ำร้อนรมณีย์ อ.รมณีย์ จ.พังงา ขับรถผ่านจะเห็นป้ายใหญ่ๆอยู่ทางซ้าย ค่าแช่คนละ 20 บาท บรรยากาศดีมากติดทิวเขา เป็นบ่อทำนะครับมีอยู่ 3 บ่อ มีน้ำร้อน ร้อนนนนน แล้วก็ร้อนมากกกกกกก พักแช่กันอยู่ประมาณครึ่งชม. ก็ช่วยคลายอาการล้าจากการดำน้ำได้เยอะเลย หลังจากแช่น้ำร้อนเสร็จเราก็เดินทางไปยังเขื่อนรัชชประภาเพื่อไปหาที่พักกัน  วันนี้เราไม่ได้หาที่พักล่วงหน้ากันไว้ มั่วๆหาไปหามาก็ได้บ้านพักของการไฟฟ้า ชื่อบ้านสุพรรณิการ์ 5 นอนได้ 6 คน (จริงๆน่าจะนอนได้เยอะกว่านี้อีกนะ) ราคา 1100 บาทเท่านั้น บรรยากาศค่อนข้างเงียบ ถึงเงียบมาก  เพราะว่าหลังที่เราพักนี้มันจะอยู่ห่างจากที่อื่นพอสมควรเลย มืดขนาดชวนกันออกไปตากผ้าข้างๆที่พักยังเกี่ยงกันเลย 5555 มีแอบเสียวเล็กๆ แต่ก็นอน สรุป นอนสบาย แอร์เย็นฉ่ำ ราคาถูก เเจ๋วอีกแล้ววววว

วันที่ 27 ม.ค.58 เราจะตัดขาดจากสังคม social network โดยครั้งนี้เราพักที่แพสายชลในเขื่อนรัชชประภากันก่อนไปก็โทรนัดกับแพสายชลให้มารับที่ท่าเรือเวลา 11.00 น. โดยขับรถไปจอดที่ท่าเรือค่าเช่า 80 บาท/วัน แล้วทานข้าวแถวๆนั้นกันก่อน จากนั้นก็ขึ้นเรือไปแพสายชลกันโลด

ส่วนตัวชอบวิวตอนนั่งเรือมากเลยนะครับ รู้สึกว่าวิวมันผ่อนคลายดี นั่งไปเรื่อยๆเพลินๆ

ถึงแพ ประมาณเกือบเที่ยง เรามีกัน 5 คน จองที่พักแบบบังกะโล 3 คน 1 ห้อง 2 คน 1 ห้อง ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวม (ห้องแบบมีห้องน้ำในตัวก็มี)ที่แพมีผ้าขนหนูให้ ห้องนอนมีพัดลม 1 ตัว มีไฟฟ้าใช้เวลา 18:00 น. – 00.00 น. หลังจากเก็บของแล้วเราก็ไม่รอช้า กิจกรรมแรกก็คือ!! กินข้าวกลางวันต่อเลย 555 เพิ่งกินกันมาจากท่าเรือเอง อาหารกลางวันเติมได้ตลอดครับยกเว้นผลไม้ อร่อยและอิ่มมาก จากนั้นก็เตรียมตัวไปเดินถ้ำปะการังเวลา 14.00 น. ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากแพสายชล ต้องนั่งเรือไปก่อนต่อนึง

จากนั้นก็ใช้เวลาเดินข้ามเขาอีกประมาณ 30 นาที แล้วก็จะไปถึงทะเลใน ตรงนั้นเราต้องนั่งแพไม้ไผ่เข้าไปอีกเพื่อไปชมถ้ำประการัง ไปฟังไกด์ให้ข้อมูล เล่าเรื่องละเอียดดีมากครับ

บรรยากาศภายในถ้ำปะการัง

จุดตรงปากทางออกถ้ำ

หลังจากชมถ้ำประการังแล้วก็เดินทางกลับไปยังแพ ช่วงเวลานี้แหละคือช่วงเวลาแห่งความบันเทิง สนุกสุดๆ ได้เล่นน้ำ พายเรือคายัค โดดน้ำตูมๆ น้ำที่นี่ใสแจ๋ว เเถมเย็นเป็นจุดๆ เล่นกันจนเกือบมืด เพลียกันไปเป็นแถบๆที่แพสายชลมีเรือคายัคให้พายฟรีครับ แต่ต้องมัดจำไม้พาย อันละ 500 บาท คืนไม้พายปุ๊บก็ได้เงินคืน อาหารเย็นที่นี่ก็จัดเต็มเหมือนเดิม เติมได้ทุกอย่างยกเว้นปลาและผลไม้ รสชาติอร่อยใช้ได้เลย

ลำนี้หมดสภาพ 555

การมานอนแพแบบนี้ คิดว่ามากันหลายๆคนน่าจะดีกว่านะครับ เพราะจะได้ไม่เหงา หากิจกรรมบันเทิงสนุกๆเล่นกันได้ แต่ถ้าใครชอบมากันเป็นคู่พักผ่อนสบายๆ 2 คนก็ได้อยู่ครับ ส่วนใครที่อยากชมวิว แนะนำให้ตื่นแต่เช้ามืดประมาณตี 4-5 นะครับ ออกมานอนดูดาวหน้าห้องพัก ถ้าฟ้าเปิดโชคดีๆก็จะได้เห็นดาวตกจำนวนมาก เพราะที่นี่ดับไฟแล้วมืดสนิทเลย

อันนี้ช่วงก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น

พอขึ้นแล้วฟ้าก็โหดอยู่เหมือนกัน

วันนี้ตอนเช้าพี่คนขับเรือนัดเรา 06.30 น. เพื่อพาไปชมวิวก่อนมาทานข้าวเช้า ง่วงสุดๆ แต่อากาศเย็นสบายมากๆ

หน้านี้ไม่ค่อยมีหมอกเท่าไร แต่ก็สวยไปอีกแบบเหมือนกัน

หลังจากนั้นก็กลับมาทำธุระส่วนตัว เก็บข้าวเก็บของ มื้อเช้าวันนี้เป็นข้าวต้มเติมได้ไม่อั้นเหมือนเดิม อิ่มกันอีกแล้ว และแล้วเราก็ต้องลาแพสายชลกลับสู่โลกแห่งความจริง ก่อนจะขึ้นบก เราก็แวะไปชมไฮไลท์ของเขื่อนก่อนคือ เขา 3 เกลอ หรือกุ้ยหลินเมืองไทยนั่นเอง พร้อมกับวิวสวยๆระหว่างทางขากลับ

มาถึงท่าเรือประมาณ 11.00 น.  วันนี้เครื่องขากลับของเราออกเวลา 19.40 น. เวลาเหลือระหว่างนี้เราก็เลยเลือกไปชมถ้ำขมิ้นกันครับ ถ้ำขมิ้นอยู่ อ.บ้านนาสาร เป็นถ้ำที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภาคใต้ จ่ายค่าเข้าอุทยาน 5 คนพร้อมรถ 190 บาท แล้วก็ต้องมีไกด์นำทาง ส่วนทิปไกด์ก็ให้ต่างหากครับ

เห็นพี่ที่นำทางบอกว่าแต่ก่อนมันมีไฟสว่างนะครับ ที่ดูในหนังสือมาก็เห็นว่ามันสว่างเหมือนกัน มองๆไปก็จะเห็นร่องรอยไฟอยู่ทั่วถ้ำไปหมด แต่พี่เค้าบอกว่ามันเสียมาได้พักใหญ่ๆแล้ว แล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้ซ่อมเมื่อไร ทำให้ถ้ำมืดสนิท ต้องพกไฟฉายเข้าไป แต่ที่เด็ดคือ พอมันมืดคราวนี้ในถ้ำมันก็เต็มไปด้วยบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายซิครับ 55555 ทั้งแมงมุมเอย ตัวบึ้งเอย อะไรอีกหลายแหล่ แถมแต่ละตัวไซส์ระดับมินิบอสกันทั้งนั้น ใครที่กลัวแนวๆนี้นี่ ไม่ควรไปดีกว่าครับ

รถจิ๊ปข้างในถ้ำที่ชอบไปถ่ายรูปกัน

หลังจากชมถ้ำขมิ้นกันแล้วก็ยังเหลือเวลาอีก เราไปแวะเที่ยวบ่อน้ำร้อนท่าสะท้อนกัน เป็นทางผ่านใกล้ๆ แต่…. คนเยอะ น้ำร้อนมากกกกกกกก แค่แตะก็แทบสุกแล้ว สุดท้ายก็เลยกลับดีกว่า

ถึงสนามบินส่งรถยนต์ เตรียมตัวกลับบินกลับกรุงเทพฯ และกลับสู่โหมดการทำงาน โอ้วโนววววววววว…….ทริปนี้เป็นทริปที่สนุกมากอีกอันนึง ใครที่อยากไปดำน้ำแล้วน้ำใสๆ แนะนำให้ลองเช็คข้างขึ้นข้างแรมให้ดีก่อนนะครับ ของเราเลือกไปช่วงขึ้น 7-10 ค่ำ ที่หมู่เกาะสุรินทร์เลยน้ำใสมากๆ และนิ่งมากๆ

สรุปรายละเอียดค่าใช้จ่ายของเราโดยประมาณ (ถัวเฉลี่ยนะครับ)

1. ตั๋วเครื่องบินไปกลับ ดอนเมือง-สุราษฎร์ธานี คนละ 1300 บาท
2. ค่าเช่ารถวันละ 900 บาท 4 วัน 3600 บาท คนละ 720 บาท
3. ค่าเรือชมหิ่งห้อย 200 บาท คนละ 40 บาท
4. ค่าที่พักคุระเรือนไทยรีสอร์ท 650 บาท 2 ห้อง เสริม 200 บาท = 1500 บาท คนละ 300 บาท
5. ค่าเรือไปกลับหมู่เกาะสุรินทร์คนละ 1400 บาท
6. ค่าชูชีพ+สน็อกเกิ้ลคนละ 100  บาท ฟินคนละ 100 บาท(เช่า 2 คน)
7. เต้นท์  5 คนพร้อมเครื่องนอน 1 คืน คนละ 190 บาท
8. ค่าที่พัก การไฟฟ้าเขื่อนรัชชประภา 1100 บาท 5 คน ราคาคนละ 220 บาท
9. แพสายชล แพ็คเก็จรวมอาหาร 3 มื้อ ที่พัก เรือนำเที่ยวไปกลับ ถ้ำปะการัง กุ้ยหลิน คนละ 1900 บาท
10. ค่าอาหาร กาแฟ ขนม อื่นๆ

หมายเหตุ : เราเก็บเงินลงกองกลางคนละ 7000 บาท ไม่รวมค่าเครื่องบินครับ

ถ้าเพื่อนๆลองไปกันประมาณนี้ผมว่าน่าจะคุมค่าใช้จ่ายลงได้อีกนะครับ เพราะที่พวกเราไปกันส่วนมากไม่ค่อยได้ fix เรื่องงบประมาณกันซักเท่าไร เสียค่ากินค่าอื่นๆไร้สาระไปซะเยอะมากกว่า

จบแล้วนะครับ ทริปนี้ ขอบคุณใครก็ได้ที่ทนอ่านจนจบ ตั้งใจทำเพราะอยากให้มันมีประโยชน์กับคนที่คิดจะไปอะไรแบบนี้ บ้างซักนิดก็ยังดีครับ เพราะผมเองก็ได้รีวิวจากในนี้ช่วยไว้หลายๆเรื่อง คราวหน้าถ้าไปที่ไหนก็จะหน้าด้านกลับมารีวิวอีกนะครับ ขอบคุณอีกครั้ง

เครดิต : รักคนอ่าน ทรมานคนดู

ต้องบอกว่าสวยงามมากจริงๆ ทั้งถ้ำ ทั้งประการัง ทั้งน้ำทะเล ทั้งเกาะ บรรยายไม่หมดจริงๆ ถ้ายังไงก็ลองไปกันดูนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจากคุณ ~MARIJUANNA~ และติดตามได้ที่  https://www.facebook.com/maytallica.pk