ใช่ว่า “ตะลอนเที่ยว” จะไม่เคยมาเยือนเมืองนครมาก่อน เพราะว่าเราเคยล่องใต้มาเที่ยวที่ จ.นครศรีธรรมราช ก็หลายครั้งหลายคราแล้ว แต่เหตุผลที่เรามาเที่ยวที่นครในทริปนี้อีกก็เพราะว่า จ.นครศรีฯ ได้เปิดตัวโครงการ “นครศรีดี๊ดี ที่เดียวเที่ยวครบเครื่อง เมืองเดียวเที่ยวทั้งปี” ขึ้น โดยทางเมืองนครได้จับมือการ“สายการบินนกแอร์”จัดแคมเปญนี้ขึ้นมา เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองคอน
เราได้เข้าไปกราบองค์พระธาตุกันถึงด้านบน โดยเดินขึ้นไปตามบันไดที่ทั้งสองข้างของบันไดจะมีรูปปั้นขององค์จตุคามรามเทพประดิษฐานอยู่ 2 องค์ คือ เท้าขัตตุคาม และเท้ารามเทพ และยังมีเหล่าผู้ปกปักรักษาองค์พระธาตุอยู่อีกมากมาย เราได้เดินเวียนทักษิณารอบองค์พระธาตุและกราบขอพรจากองค์พระธาตุจนเป็นที่เรียบร้อย ก็ออกเดินเที่ยวรอบวัดพระธาตุ ซึ่งต้องขอบอกว่าที่วัดนี้มีของดีให้ชมมากมาย สมแล้วที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนครศรีฯ ที่กำลังขอเป็นมรดกโลก ซึ่งจากประวัติศาสตร์ความเป็นมาและสิ่งน่าสนใจต่างๆมากมายในวัดแห่งนี้ เชื่อว่าอีกไม่นานเราจะได้มีมรดกโลกเคียงคู่กับเมืองนครศรีธรรมราช
“ตะลอนเที่ยว” ออกจากวัดมาด้วยจิตใจอันผ่องใสแบบอิ่มบุญเต็มที่ จากนั้นเราไปทำความรู้จักกับเมืองนครให้มากกว่านี้ ด้วยการไปศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมืองที่น่าสนใจกันที่ “พิพิธภัณฑ์เมืองนครศรีธรรมราช” ตั้งอยู่ภายในสวนสาธารณะสมเด็จพระศรีนครินทร์ 84 (ทุ่งท่าลาด) ถ. ราชดำเนิน เมื่อเดินเข้ามาภายในพิพิธภัณฑ์จะมีอาคารจัดแสดงอยู่ 2 หลัง หลังแรกมีชื่อว่าอาคารวีรไท ที่ภายในชั้นล่างจัดแสดง เรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองนครศรีฯ ที่มีเส้นทางการค้าและเคยเป็นเมืองท่าโบราณที่สำคัญ มีนิทรรศการของบุคคลสำคัญของบ้านเมือง ส่วนชั้น 2 นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา เน้นวัดพระมหาธาตุฯ และแสดงวัฒนธรรมการจำลองประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุให้ได้ชม
แล้วเดินมาต่อที่อาคารเทิดไท้ราชินี ที่มีการจัดแสดงด้วยสื่อที่ทันสมัยมาก มีการจำลองเรือเดินสมุทรโบราณที่ให้ขึ้นไปนั่งแล้วเรือจะพาเราล่องย้อนอดีตไปสัมผัสกับเมืองท่าค้าขายทางทะเลที่สำคัญของคาบสมุทรไทย สร้างความตื่นเต้นเพลิดเพลินให้กับการชมเป็นอย่างยิ่ง และมีการจัดแสดงหุ่นจำลองให้เห็นถึงการค้าขายสินค้าเครื่องเทศของเมืองตามพรลิงค์ มีการจัดแสดงมรดกวัฒนธรรม การแสดงพื้นบ้านอย่างมโนราห์ หนังตะลุง ลิเกป่า เพลงบอก ผ่านสื่อวีดิทัศน์ที่น่าสนใจ ส่วนชั้น 2 จัดแสดงเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับเมืองนครอย่าง ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่นครศรีฯ และเหตุการณ์วาตภัยแหลมตะลุมพุกเมื่อปี 2505 และก็ยังมีมุมจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับองค์จตุคามรามเทพให้กับผู้ที่สนใจได้ชมกันด้วย
เรียกว่ามาเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์เมืองนครฯ แล้วทำให้รู้จักเมืองนครมากขึ้นจริงๆ จากนั้นเราออกเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางต่อไปมุ่งหน้ามาที่อ.ปากพนัง เพื่อมาเที่ยวชม “พิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติ โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังฯ” ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เกิดจากโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริของในหลวง ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ในบริเวณสถานที่ดำเนินโครงการพื้นที่ลุ่มน้ำ ปากพนัง ประกอบด้วยห้องทรงงานส่วนพระองค์ ห้องประชุมและห้องนิทรรศการปากพนังในอดีต
เมื่อได้เข้ามาชมห้องนิทรรศการที่ถูกจัดแสดงได้อย่างน่าสนใจผ่านสื่อมัลติมีเดีย โดยมีเรื่องราวความรู้มากมายเกี่ยวกับโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังฯ จัดแสดงไว้ให้ได้ศึกษากัน ตั้งแต่พาไปย้อนอดีตสู่ลุ่มน้ำปากพนังที่เมื่ออดีตเคยรุ่งโรจน์ ก่อนที่จะพบกับสภาพปัญหาต่างๆ และสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นกับพื้นที่ในโครงการฯ จากนั้นก็จัดแสดงให้เห็นถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงที่มีต่อพื้นที่โครงการฯ และมีการนำเสนอแผนการดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
และสุดท้ายเป็นส่วนของการจัดแสดงผลสำเร็จหลังโครงการเสร็จสิ้น และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่สำคัญในภาคใต้ และบริเวณใกล้ๆกับพิพิธภัณฑ์ฯ ยังมี “อนุสาวรีย์ปล่องโรงสีข้าวโบราณ” ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าให้ได้ชมกัน ซึ่งปล่องโรงสีข้าวโบราณนี้ ถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งปากพนังที่แสดงให้เห็นว่าในอดีตปากพนังมีความอุดมสมบูรณ์ในฐานะอู่ข้าวอู่น้ำแห่งหนึ่งของเมืองไทย
พอได้ชมเรื่องราวของโครงการฯ ปากพนังกันแล้ว เราก็ไปล่องเรือสัมผัสวิถีชีวิตของชาวลุ่มน้ำปากพนังกันดีกว่า การล่องเรือไปบนสายน้ำที่ไหลเอื่อย พาให้เราได้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่แบบเรียบง่ายของชาวปากพนังที่มีความผูกพันกับสายน้ำ ที่หล่อเลี้ยงชาวปากพนังให้มีความเป็นอยู่ที่ดีอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติ เราจะได้เห็นเรือประมงของชาวบ้านมากมายจอดเรียงรายไปตามแนวแม่น้ำ ได้เห็นชาวบ้านแล่นเรือออกมาหาปลา เห็นบ้านเรือนที่ปลูกอยู่ริมน้ำ มีกระชังปลาอยู่หน้าบ้าน และยังได้เห็น “ประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ” ที่เป็นนามพระราชทานจากในหลวง มีความหมายถึง ความสามารถแบ่งแยกน้ำจืดน้ำเค็ม ได้สำเร็จ ซึ่งประตูระบายน้ำนี้มีความสำคัญและยังประโยชน์ต่อชาวลุ่มแม่น้ำปากพนังเป็นอย่างมาก เพราะช่วยปิดกั้นน้ำเค็มไม่ให้รุกเข้าไปในลำน้ำกักเก็บน้ำจืด เพื่อไว้ใช้ดำรงชีพของชาวบ้าน
ได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่คู่กับธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์พูนสุขของชาวปากพนังแล้ว ทำให้ “ตะลอนเที่ยว” รู้สึกซาบซึ้งไปกับพระมหากรุณาธิคุณที่ในหลวงทรงมีพระเมตตาต่อพสกนิกรชาวไทยทุกหนแห่งของพระองค์
จากอ.ปากพนัง “ตะลอนเที่ยว” ยังไม่หยุดยั้งการเดินทางแต่เพียงเท่านี้ เพราะว่าเรามีจุดหมายปลายทางข้างหน้ารออยู่ นั่นคือการเดินทางไปยัง อ.ขนอม เพื่อไปเฝ้าลุ้นระทึกกับเจ้าโลมาสีชมพูที่ถือเป็นซุปตาร์ของทะเลแห่งนี้
พอเจ้าโลมาน้อยสีชมพูโบกครีบลาพร้อมกับว่ายน้ำหายไปแล้ว เรือได้เบนหัวเรือมุ่งหน้าไปยังบ่อน้ำจืดกลางทะเล ที่ตั้งอยู่บนเกาะที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “เกาะหลวงปู่ทวด” ที่นี่เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีตำนานเล่าว่าหลวงปู่ทวดเคยมาขึ้นเรือที่เกาะนี้ แล้วได้สร้างปาฏิหาริย์เหยียบน้ำทะเลจืด เกิดเป็นรูปร่างเหมือนรอยเท้า และตรงรอยเท้านี้น้ำทะเลก็มีรสชาติที่จืดสามารถกินได้ไม่เค็ม ซึ่งชาวบ้านให้ความเคารพศรัทธาว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ พร้อมทั้งเรียกขานกันว่า “รอยเท้าหลวงปู่ทวด” ขณะที่ด้านบนของเกาะชาวบ้านก็ได้ร่วมใจกันสร้างรูปจำลองหลวงปู่ทวดประดิษฐานไว้ ให้ได้กราบไหว้ขอพรกัน
บรรยากาศของงานราตรีพระจันทร์สุก คึกคักไปด้วยเหล่านักท่องเที่ยวที่มาฟังเพลงจากวงดนตรี ที่มาเล่นเพลงให้ฟังกันสดๆ ตรงเวทีริมชายหาด และมีโต๊ะเก้าอี้ที่ทำจากต้นมะพร้าวให้เลือกนั่ง หรือจะนั่งกินลมแบบชิลล์ ชิลล์ บนหาดทรายก็ไม่มีใครว่า เรียกว่างานนี้ได้ฟังเพลงเพราะๆ แบบมันส์สุดเหวี่ยง สนุกสนานกันเต็มที่ ถ้าหิวก็มีอาหารทะเลสดๆ บาร์บีคิวให้บริการด้วย รวมถึงถ้าใครเกิดเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวขึ้นมา ก็มีมุมนวดไทยให้บริการคลายเมื่อยกันอีกด้วย
สำหรับราตรีนี้ของเราที่ อ.ขนอมยังคงอีกยาวไกล เพราะตราบใดที่เสียงเพลงยังคงดังต่อเนื่อง และสร้างความสุขสนุกสนานให้แบบนี้ เห็นทีคงจะมีเรื่องกลับไปเม้าท์ให้คนที่บ้านที่ไม่ได้มาเที่ยวเมืองนครด้วยกันฟังมากมาย ว่า “นครศรีฯ นี้ดี๊ดีเพียงใด ถ้ามีโอกาสอยากให้มาเที่ยวมาเยือนกันให้ได้จริงๆ”
ที่มา: manager.co.th , www.flagfrog.com