ลุยยอดเขาเทวดา สุพรรณบุรี สวยเหมือนอยู่ภาคเหนือ

ถ้าจะให้นึกถึงภูเขาที่มีบรรยากาศเหมือนเมืองเหนือ และอยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด หลายคนคงนึกถึงภูเขาแถบเขาใหญ่ แต่เดี๋ยวก่อน ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ก็มีภูเขาสวยๆ ที่มีวิวทะเลหมอกเหมือนกันนะครับ

 ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะนักเดินทางจากห้องบลูแพลนเน็ต แห่งเว็บไซต์พันทิป ไปเที่ยวและมีเรื่องราวสนุกๆ มาเล่าให้กันฟัง เดินทางไปพร้อมกับพวกเขาเลยครับ

สวัสดีชาวพันทิป ช่วงเทศกาลที่ผ่านมาหลายคนออกเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดแบบเดินทางไกล สำหรับใครที่ไม่อยากเจอรถติด  คนเยอะ  แย่งกัน กินแย่งกันใช้  ชอบดูทะเลหมอก เดินป่า  ชมธรรมชาติ  สามารถใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายได้ อยากแนะนำที่นี่เลย ค่ะ “ยอดเขาเทวดา อุทยานแห่งชาติพุเตย จ.สุพรรณบุรี” เพราะห่างจาก กทม.แค่ประมาณ 4 ชม.  เราไปโดยใช้อากู๋ หรือ Google นี่แหละนำทาง  ก็ถือว่าโอเคนะ  พาไปถูกเป๊ะ (อันนี้ ก็แล้วแต่คนชอบ) พอไปแล้วก็รู้สึกประทับใจมาก เพราะคนน้อย  (ถ้าเทียบกับที่อื่นในช่วง เทศกาล)  เพราะส่วนใหญ่ก็มักไปเที่ยวเหนือกันหมด  แต่ปีนี้อยากลองหนีเหนือดูบ้าง หนีคนเยอะ ก็เลยลองไปที่นี่ดู ซึ่งก็ไม่ผิดหวังจริงค่ะ เพราะได้สัมผัสธรรมชาติจริงๆ และวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงด้วย  เดี๋ยวลองไปดูภาพกันเลยดีกว่าเนอะ (เพิ่งเคยโพสต์ครั้งแรก  ถ้าทำให้งง ต้องขออภัยด้วยนะคะ อิอิ)

เป้าหมายของทริปนี้คือ  “การพิชิตยอดเขาเทวดา อุทยานแห่งชาติพุเตย 2 วัน 1 คืน” แต่ก่อนขึ้นยอดเขา จะต้องขึ้นไปกางเต็นท์บนอุทยานซะก่อน  แล้วค่อยขึ้นยอดเขาเทวดาตอนเช้ามืด ของวันถัดไปเพื่อทันดูพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอก  ซึ่งสถานที่กางเต็นท์จะ มี  3 จุดใหญ่ๆ ได้แก่
– หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ พุเตยที่ 1 (ด้านวังคัน-ป่าขี)
– ที่ทำการอุทยานฯ พุเตย
– หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ พุเตยที่ 3 ตะเพินคี่  (จุดนี้อยู่บนเขา  ทิวทัศน์สวยงาม  เป็นจุดที่เหมาะที่สุดในการกางเต็นท์เพราะ อยู่ใกล้ “ยอดเขาเทวดา” มากที่สุดค่ะ  (มีห้องน้ำบริการ 4 ห้อง)
งั้นเรามาเริ่มออกเดินทางกันเลยค่ะ  ออกจาก กทม.ประมาณ 9 โมง ถึงที่ทำการอุทยานฯ พุเตย อ.ด่านช้าง  ประมาณ 13.00 น.ใช้เวลาประมาณ 4 ชม.ค่ะ

ใครหิว ก็แวะทานอาหารก่อนได้นะคะ ที่นี่มีร้านอาหารให้บริการค่ะ ราคาก็ประมาณ 40-50 บาท แล้วแต่จะเลือก

พอกินข้าวกันเสร็จแล้ว ก็ไปติดต่อตรงที่ทำการฯ อุทยาน เพื่อเช่ารถขึ้นเขาไปยัง หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ พุเตยที่ 3 ตะเพินคี่ เนื่องจากทริปนี้เราไปกัน 2 คน โดยใช้รถเก๋ง VIOS  จึงไม่เหมาะสำหรับขับขึ้นเขาเท่าไรนัก กลัวช่วงล่างพังและสงสารรถน่ะค่ะ  เลยจำเป็นต้องเช่ารถกระบะ 4WD ของเจ้าหน้าที่ ค่าบริการ 2,000 บาท (ทั้งไป-กลับ) รวมน้ำมันแล้ว  (ราคาโหดอยู่เนอะ แต่ถ้าไปกันเยอะ ก็หารเฉลี่ยกันได้ค่ะ มีเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เป็นคนขับค่ะ  พี่เขาชำนาญทางมากๆ ใช้เวลาขับประมาณ 1-1.30 ชม.  แต่ถ้าใครมีรถกระบะ และขับรถอย่างชำนาญแล้ว ก็ขับรถขึ้นไปกางเต็นท์ที่หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ พุเตยที่ 3 ตะเพินคี่ได้เองเลยนะคะ  เพราะเส้นทางจะเป็นดินลูกรัง  มีหลุมบ่อตลอด ทาง  แต่ไมค่อยชันเท่าไหร่นะ  เพราะเราเคยขึ้นชันมากกว่านี้เยอะ 555 เราเริ่มออกเดินทางประมาณ 14.00 น. ถึงตะเพิ่นคี่ประมาณ 15.00 น.เศษๆ ลองมาดูเส้นทางขึ้นเขากันเลยค่ะ


ระหว่างทางขึ้นเขานั้น  เจ้าหน้าที่ใจดี  พาแวะดูจุดชมวิว 2 จุดค่ะ  วิวสวยดีค่ะ  ถ่ายรูปได้ตามใจชอบเลย

จากนั้นก็เดินทางกันต่อ จนมาถึง “หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ พุเตยที่ 3 ตะเพินคี่”  แล้วค่า  ถ้าใครไม่มีเต็นท์ก็สามารถเช่าที่นี่ได้ค่ะ  ราคาไม่รู้เท่าไหร่แต่ไม่แพงค่ะ  ส่วนเรามีเต็นท์ไปเอง 1 หลัง เสียค่ากางเต็นท์แค่ 30 บาท/หลัง  และเฉพาะช่วงปีใหม่ จะยกเว้นค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯ 20 บาทค่ะ

ข้างบนมีร้านอาหารเล็กๆ ของชาวกะเหรี่ยงด้วยนะคะ  รับรองไม่ต้องกลัวอดนะคะ มีทั้งน้ำเปล่า โอวัลติน กาแฟ ไข่ต้ม ข้าวสาร  ส้มตำ โออิชิ ยังมีอ่ะ ฯลฯ ราคาชาวบ้าน  ไม่แพงเลย  จะได้มีโอกาสอุดหนุน และช่วยกระจายรายได้ให้ชาวบ้าน กันด้วยค่ะ

หลังจากกางเต็นท์เสร็จ  ก็มาชมพระอาทิตย์ตกยามเย็นข้างๆ เต็นท์กันค่ะ ภาพไม่ได้แต่งเลยนะ ธรรมชาติสร้างมาล้วนๆ เลยค่ะ  จากนั้นก็รีบไปอาบน้ำ เพราะเดี๋ยวคิวเยอะ  มีห้องน้ำ 4 ห้อง   ขอบอกว่า  น้ำเย็นมาก แต่ก็สดชื่นมากๆ  เลยค่ะ  ก่อกองไฟก็ช่วยได้เยอะ  กินอาหารง่ายๆ เช่น มาม่า  หมูย่าง ไก่ย่าง ส้มตำ ข้าวเหนียว  แล้วแต่ชอบนะคะ  บางคนไปกันเป็นครอบครัว ก็ขนไปเยอะหน่อย

ตอนบ่ายๆ เย็นๆ หนาวเย็นกำลังพอดี แต่ช่วงดึกๆ นี่สิ บอกเลยว่า  มันหนาวมาก ไม่ใช่เล่นๆ  เลยนะ เราก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่า จะหนาวได้ขนาดนี้ น่าจะประมาณ 8-10 องศาได้นะ  ลมแรง เสียงลมครืนๆ เย็นเยือกไปทั้งตัว  เสื้อชั้นเดียวกะผ้าพันคอ เอาไม่อยู่จริงๆ ขอให้เตรียมกันหนาวไปให้พร้อม  เหลือดีกว่าขาดนะคะ  แต่เรา เตรียมไปน้อย เลยนอนไม่ค่อยหลับ  เสียดายที่ถ่ายภาพดาวเต็มฟ้า มาให้ไม่ได้  เพราะเป็นกล้องดิจิตอลอันเล็กๆ แต่บอกเลยว่า สวยมากจริงๆ เป็นจุดหนึ่งที่ประทับใจที่สุดค่ะ   นอนเต็นท์  ดูดาว  พระจันทร์  ก่อกองไฟอุ่น ๆ  โอ้ย…สุดยอด

รุ่งเช้า  เวลาประมาณ ตี 4 เตรียมตัวออกเดินทางกับภารกิจสำคัญของทริปนี้ นั่นคือการ “พิชิตยอดเขาเทวดานั่นเอง” ใครที่ไม่มีรถ ก็สามารถใช้บริการรถของอุทยานฯได้ค่ะ  ค่าบริการ 100 บาท/คน  โดยรถกระบะจะไปส่งเราถึงตีนเขา  จากนั้นเราต้องเดินขึ้นเขาต่อไป เอง  ระยะทางเดิน 800 เมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.   โดยมีน้องๆ ชาวกะเหรี่ยง เป็นไกด์ท้องถิ่น นำทางพวกเราขึ้นไปค่ะ  ถ้าใช้รองเท้าเดินป่า  ก็จะคล่องตัวและเดินสบาย มากกว่าค่ะ  แต่เราลืมเอาไป เลยใช้รองเท้าแตะเดิน  ก็ถือว่าพอได้อยู่ค่ะ

ถ้าเหนื่อยก็พักได้นะคะ  ระยะทาง  800 เมตร  ความชันประมาณ 45 องศา ค่ะ  สำหรับเราก็ค่อยได้เดินแบบนี้เท่าไหร่  พอมาเดินก็รู้สึกประทับใจมาก นะ  เป็นการเดินป่าของจริง ขึ้นเขาจริงไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ นอกจากเชือก 1 เส้น (ซึ่งจะมีเป็นบางจุด ที่ใกล้จะถึงยอดเขา เพราะค่อนข้างชันค่ะ ถ้าเดินอย่างระมัดระวัง  ก็ไม่มีอันตรายนะ)

ในที่สุด ก็ถึงแล้วค่ะ “ยอดเขาเทวดา อุทยานแห่งชาติพุเตย” ภารกิจสำเร็จแล้ว แม้ว่าจะเจอทะเลหมอกน้อยไปหน่อย แต่ก็สวยมาก ไม่แพ้ที่อื่นเลยค่ะ

หลังจากอิ่มกับบรรยากาศบนยอดเขาเรียบร้อยแล้ว  พอสายๆ  ก็ได้เวลาเดินลงเขาแล้วค่ะ  ตอนเดินลงมันต้องเกร็งขา ไม่งั้นอาจลื่นตกได้  พอลงมาขาสั่นกันเลยทีเดียว  แต่ก็ไม่วายเก็บภาพไร่ ข้าวโพดสีทองอร่าม  ที่อยู่ด้านล่างค่ะ  เมื่อแสงอาทิตย์กระทบกับไร่  จะเป็น แสงสีทองสวยมากเลยค่ะ


จบทริปแล้วค่า เป็นไงบ้างคะ กับการเที่ยวเชิงนิเวศน์ครั้งนี้  “เป็นความสุขที่เลือกได้ในช่วงเทศกาล” ค่าใช้จ่ายทริปนี้ก็ไม่แพงเลยค่ะ เพราะส่วนใหญ่ซื้อของกินจากชาวบ้าน  ราคาถูกโคตรๆ เสาร์-อาทิตย์ ก็ไปเที่ยวกันได้อย่างสบายๆ  เป็นธรรมชาติที่ใกล้ กทม.นิดเดียวจริงๆ โดยหวังว่ารีวิวนี้จะทำให้หลายๆ คนรู้จัก “ยอดเขาเทวดา” กันมากขึ้น  จริงๆ แล้วมีน้ำตกเพินตะคี่ด้วย  แต่เรารีบกลับเลยได้แวะไป  อยากให้ลองมาเที่ยว กันเยอะๆ นะคะ  รับรองว่า จะได้รับความสุขหลายรสชาติมากๆ ทั้งธรรมชาติ  ความสงบ และได้เห็นวิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงกันด้วย   ถ้าชอบ ไม่ชอบ ยังไง แสดงความเห็นกันได้นะคะ  ถ้ามีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ  จะเก็บภาพมาฝาก กันอีกนะคะ

ขอบคุณ http://pantip.com/topic/33061497